เทรนด์ร้านกาแฟปี 2025 ปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด?
ในปัจจุบัน ร้านกาแฟยังคงเป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการหน้าใหม่ หรือผู้ประกอบการเดิมที่ต้องการขยายธุรกิจอยู่ เห็นได้จากรายงานของกรมการค้าภายใน หรือกระทรวงพาณิชย์ ที่ยอดการเติบโตของการบริโภคกาแฟยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 มูลค่าตลาดกาแฟไทยอยู่ที่ 34,470.3 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.34 เมื่อเทียบกับปี 2022 แสดงให้เห็นว่า เทรนด์การบริโภคกาแฟของคนไทยยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงยังเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเปิดธุรกิจร้านกาแฟใหม่ๆ โดยที่กระแสยังไม่ลดลง เพราะการบริโภคกาแฟถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว
โดยในปี 2025 เอง คาดการณ์ว่าธุรกิจร้านกาแฟยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพและรสชาติมากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการทั้งรายเก่าและรายใหม่ต้องคำนึงถึงส่วนนี้ให้มากยิ่งขึ้น ควรเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันและความต้องการให้ได้มากที่สุด ปรับตัวให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด เพื่อโอกาสในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจร้านกาแฟของตน
ความท้าทายที่ร้านกาแฟต้องเผชิญในปี 2025
ผู้ประกอบการร้านกาแฟอาจต้องเผชิญสภาวะการแข่งขันที่สูงมากขึ้น ได้แก่
1. การแข่งขันสูง
อันเนื่องมาจากร้านกาแฟที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นในแต่ละร้านควรมีจุดขายที่โดดเด่น เช่น สูตรเครื่องดื่มเฉพาะตัว, เมนูพิเศษประจำร้าน, การตกแต่งร้านที่สวยงาม หรือการบริการที่ดี ซื้อใจผู้บริโภค
2. ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
อันเนื่องมาจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น เช่น เมล็ดกาแฟ หรือนม ผู้ประกอบการจึงต้องบริหารจัดการวัตถุดิบและทรัพยากรอย่างรัดกุม ลดโอกาสการสูญเสียต้นทุนให้ได้มากที่สุด
3. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีความรู้ด้านกาแฟมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ดื่มเพื่อรสชาติ แต่เป็นการดื่มเพื่อเสพงานศิลป์ที่ซับซ้อนของรสชาติ รวมไปถึงการมีตัวเลือกเยอะมากขึ้น ผู้บริโภคจึงต้องการร้านค้าที่ตอบโจทย์ในเรื่องของคุณภาพเครื่องดื่มในแต่ละแก้ว ที่มาที่ไปและเรื่องราวของแต่ละรสชาติของเครื่องดื่ม โดยต้องมีราคาที่สมเหตุสมผลด้วย
เนื่องจากการที่ร้านกาแฟเปิดตัวเพิ่มขึ้นในทุกวัน ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ร้านกาแฟจึงต้องแข่งขันกันทั้งในด้านคุณภาพ, รสชาติ, ราคา รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น การปรับตัวร้านกาแฟให้เข้ากับเทรนด์ปี 2025 ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจของแต่ละร้านอยู่รอดท่ามกลางการแข่งที่สูง แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงของรายได้เพื่อความสำเร็จในระยะยาว การหมั่นศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคและปรับใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม จะช่วยให้ร้านของคุณโดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมาย
ข้อดีและข้อเสียของพฤติกรรมการบริโภคกาแฟที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย
ข้อดี
1. การเติบโตของตลาดร้านกาแฟที่สูงขึ้นตลอดเวลา จะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น การเลือกใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพหรือกาแฟ specialty, เมนู Seasonal Drink ที่เลือกใช้วัตถุดิบหลากหลาย แปลกใหม่
2. ขยายฐานผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มพนักงานยุคใหม่ ที่ดื่มกาแฟเพื่อซึมซับรสชาติอันมีเอกลักษณ์ที่ซับซ้อน
3. สร้างความหลากหลายของเครื่องดื่มได้มากขึ้น เช่น กาแฟผลไม้, กาแฟขวดพร้อมดื่ม หรือกาแฟ infusion
ข้อเสีย:
1. เพราะการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้แต่ละร้านค้าต้องแข่งกันทั้งด้านคุณภาพ และราคา
2. ผู้บริโภคกาแฟยุคใหม่มีความรู้เรื่องกาแฟเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการจะต้องมีความรู้และความสามารถในการทำเครื่องดื่ม รวมไปถึงการบริการที่ต้องน่าประทับใจตลอดเวลา
3. ธุรกิจร้านกาแฟในขั้นเริ่มต้นต้องลุงทุนในส่วนของการประชาสัมพันธ์และการทำการตลาดเป็นอย่างมากเพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และรักษาฐานลูกค้า
เทรนด์การเลือกร้านกาแฟสำหรับผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่กำลังได้รับความนิยม
1. ร้านกาแฟสไตล์มินิมอล
ที่เน้นการตกแต่งแบบเรียบง่าย เน้นความโปร่งสบายและแสงธรรมชาติ เป็นที่นิยมสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ทำงานหรือพักผ่อน รวมไปถึงการใช้ช่วงเวลาในวันหยุดเพื่อถ่ายรูปอัพเดทไลฟ์สไตล์บน Social
2. Grab & Go Café
ร้านกาแฟที่เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์คนเมืองหรือพนักงานบริษัทที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว แต่ยังคงคุณภาพของกาแฟ
3. Specialty Coffee
ร้านกาแฟที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพเมล็ดกาแฟ และกระบวนการชงที่พิถีพิถันหลากหลายประเภท สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรสชาติกาแฟที่พรีเมียม ซับซ้อน และดื่มกาแฟเป็นศิลปะ
รูปแบบร้านกาแฟที่เป็นที่นิยม
รูปแบบร้านกาแฟที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรายใหม่ที่น่าสนใจในปี 2025 ได้แก่
1. ร้านกาแฟเคลื่อนที่ หรือร้านรถเข็น
โดยอาจจะต่อพ่วงกับมอเตอร์ไซค์, รถบางชนิด หรือรถที่เข็นได้ โดยทำเลที่ตั้งใช้พื้นที่ไม่ใหญ่มาก ในบางผู้ประกอบการอาจจะใช้ยานพาหนะที่ต่อเข้ากับรถเข็นกาแฟ เดินทางขายตามเส้นทางประจำ รวมไปถึงการออกบูทตามตลาดนัด, สถานที่จัดกิจกรรมชั่วคราว เช่นตลาด Night Market หรือตามอีเว้นท์ ร้านกาแฟประเภทนี้จะมีค่าใช้จ่ายในด้านค่าเช่าที่ที่น้อย แต่สถานที่ไม่มั่นคง ต้องคอยหาแหล่งขายอยู่เรื่อยๆ
โดยราคาเครื่องดื่มเฉลี่ยอยู่ที่แก้วละ 25 บาทขึ้นไป
2. ร้านกาแฟประเภทมุมกาแฟ หรือ Coffee Bar
นิยมตั้งตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ลักษณะของร้านคล้ายเคาน์เตอร์บาร์ โดยอาจมีโต๊ะเล็ก ๆ 2-3 โต๊ะไว้บริการลูกค้า รวมถึงเก้าอี้เพื่อให้ลูกค้านั่งขณะรอกาแฟ ร้านกาแฟประเภทนี้จะมีค่าใช้จ่ายของค่าเช่าที่ที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็จะมีลูกค้าสัญจรไปมาที่แน่นอน เพราะตั้งอยู่ในเขตศูนย์การค้า
โดยราคาเครื่องดื่มเฉลี่ยอยู่ที่แก้วละ 50 บาทขึ้นไป
3. ร้านกาแฟ Stand-alone
ร้านกาแฟที่มีที่นั่งและพื้นที่ใช้สอยเป็นของตนเอง โดยอาจอยู่ในห้างสรรพสินค้า หรือพื้นที่ภายนอกอาคาร เช่น บ้านพัก หรืออาคารพาณิชย์ เป็นต้น รวมไปถึงการเช่าพื้นที่เล็กๆ หรือการเช่าตึกแถวเพื่อเปิดร้าน โดยร้านกาแฟประเภทนี้จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่าที่สูงขึ้น บางร้านอาจต้องทำการซื้อพื้นที่เพื่อสร้างร้านเป็นของตัวเอง
โดยราคาเครื่องดื่มเฉลี่ยอยู่ที่แก้วละ 75 บาทขึ้น
ซึ่งการเป็นเจ้าของร้านกาแฟประเภทเหล่านี้ มีข้อดีคือ
1. ใช้เงินทุนในการเริ่มต้นน้อย
2. สามารถคิดสูตร หรือเมนูประจำร้านได้อย่างอิสระ
3. มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการร้าน โดยเจ้าของร้านตัวจริงมีสิทธิ์ขาดในการบริหารหรือตัดสินใจ
แต่ก็มีข้อเสียบางอย่าง ที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึง ได้แก่
1. ผู้ประกอบการต้องคิดสูตร และหาแหล่งซื้อวัตถุดิบเอง
2. ใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการสร้างฐานลูกค้า และชื่อเสียงของร้าน
3. การแข่งขันในยุคปัจจุบันสูงมาก
ราคากาแฟและเครื่องดื่มที่เหมาะสมต่อแก้วที่แนะนำ
1. สำหรับกลุ่มลูกค้าทั่วไป ควรมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 50-70 บาท
2. กลุ่มลูกค้าพรีเมียม หรือผู้ที่บริโภคกาแฟอย่างลึกซึ้ง มองหากาแฟคุณภาพสูง ควรมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 120-200 บาท
3. กลุ่มพนักงานหรือไลฟ์สไตล์คนในเมืองที่ต้องการความรวดเร็วแบบ Grab & Go ควรมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 40-60 บาท โดยเน้นปริมาณการขายเพื่อทำกำไร
ซึ่งในปัจจุบัน มีอีก 1 ทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการที่อยากเปิดธุรกิจร้านกาแฟ นั่นคือร้านกาแฟประเภท Franchise โดยการซื้อลิขสิทธิ์ของแบรนด์เพื่อมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง
มีข้อดีคือ
1. แบรนด์เป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาในการทำการประชาสัมพันธ์
2. มีอุปกรณ์, วัตถุดิบ และการสนับสนุนด้านโปรโมชั่นจากเจ้าของแบรนด์อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาในการหาซื้อวัตถุดิบ หรือคิดสูตรเพิ่ม
3. วัตถุดิบที่ใช้ภายในร้านได้รับมาตรฐานเท่ากันทุกร้าน
ข้อเสีย
1. ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นซื้อ Franchise ค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการต้องมีเงินทุนสำรองหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก
2. ไม่สามารถพัฒนาร้านของตัวเองให้เป็นแบรนด์ของตัวเองได้ โดยชื่อเสียงของร้านค้าจะเป็นของบริษัทแม่ที่เป็นเจ้าของ Franchise
3. ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสูตร, เมนู หรือโปรโมชั่นทางการตลาดได้ และจำเป็นต้องขออนุญาตบริษัทแม่ทุกครั้ง
5 สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงเป็นหลัก
1. เตรียมพร้อมเรื่องเงินทุนในการเปิดร้าน และเงินทุนสำรองเพื่อหมุนเวียนในธุรกิจ
เนื่องด้วยธุรกิจประเภทนี้ใช้เงินทุนสูง และคืนทุนช้า ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจจะต้องมีเงินทุนหมุนเวียนสำรองเตรียมพร้อม โดยอาจจะเป็นเงินเก็บสำรองที่ไม่กระทบกับเงินเก็บหลัก หรือกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงินเตรียมพร้อมไว้
2. บริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งวัตถุดิบ พื้นที่ขาย และทรัพยากรมนุษย์ (พนักงาน) เพื่อช่วยให้ธุรกิจคืนทุนไวขึ้น
3. ควบคุมการเงินในธุรกิจให้ดี ทั้งรายรับ-รายจ่าย โดยต้องมีการจัดการบัญชีที่ถูกต้อง
4. วิเคราะห์ และสังเกตุความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงหมั่นศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันตลอดเวลา ทั้งเมนูใหม่ๆ รวมไปถึงตัวเลือกที่หลากหลายเพื่อเพิ่มโอกาสการซื้อของผู้บริโภคให้เยอะขึ้น
5. หมั่นประชาสัมพันธ์ การทำการตลาด หรือการสื่อสารโปรโมทธุรกิจอยู่เสมอ ทั้งการประชาสัมพันธ์ผ่านทาง Social Media, การทำ Marketing Promotion รวมไปถึงการจ้าง Influencer เฉพาะทางมาประชาสัมพันธ์ร้าน เพื่อเพิ่มการมองเห็นและรับรู้ในกลุ่มลูกค้า
BONCAFE เราคือ One-stop coffee & beverage solutions ผู้นำด้านธุรกิจกาแฟอย่างครบวงจรที่มีบริการ และสินค้าครอบคลุมมากที่สุดเพื่อผู้ประกอบการร้านกาแฟ เราคือผู้ผลิต ส่งออก และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านกาแฟที่มีประสบการณ์มากว่า 32 ปี รวมไปถึงบริการต่างๆ เพื่อผู้ประกอบการรายใหม่ หรือผู้ประกอบการเดิม โดยเรามีบริการตั้งแต่
- บริการเช่าซื้อเครื่องทำกาแฟ โดยราคาเริ่มต้น 1,560.- / เดือน
- บริการรับจ้างผลิตเมล็ดกาแฟคั่ว-บด OEM ตามความต้องการของผู้ประกอบการ
- แพ็กเกจสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ ครบ จบในที่เดียว
การเลือกใช้บริการจาก BONCAFE ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการร้านกาแฟในยุคปัจจุบัน ด้วยบริการที่ครบวงจร และคัดสรรสินค้าคุณภาพสูงจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดกาแฟ, เครื่องทำกาแฟ หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ ทั้งวัตถุดิบด้านเครื่องดื่ม หรืออุปกรณ์เสริมการทำกาแฟ ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้ทุกความต้องการ
นอกจากนี้ BONCAFE ยังมีบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ และฝึกอบรมความรู้ด้านการทำกาแฟให้กับพนักงานของธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจร้านกาแฟมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งรสชาติ และความรู้ด้านกาแฟของแต่ละร้าน ช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค และเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดได้ รวมไปถึงการช่วยคืนทุนและเพิ่มกำไรให้กับร้านค้าได้อีกด้วย
ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้บริการของ บอนกาแฟ ประเทศไทย ได้ที่
Website : https://www.boncafe.co.th/
Facebook : Boncafe Thailand
Line : @boncafethailand
Boncafe Showroom ทุกสาขาทั่วประเทศ
แหล่งอ้างอิง
- https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/2787230
- https://www.prachachat.net/economy/news-1566335
- https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/article/KSMEAnalysis/Documents/Coffee-Shop-Management.pdf
- https://www.krungsri.com/th/research/industry/industry-outlook/services/food-beverages/io/io-food-beverage-restaurant-2024-2026